iYEAR: พระแท้ฯ เมื่อสวมใส่ย่อมเชื่อม..พลังมงคลได้
หมวดหมู่พระเครื่อง>>พระเครื่องเกจิทุกภาค>>พระเครื่องเกจิภาค ๕(เหนือตอนบน)
พระสุพรหมยานเถร หรือ ครูบาพรหมา เดิมชื่อ พรหมา พิมสาร ฉายา พฺรหฺมจกฺโก เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2441 ณ บ้านป่าแพ่ง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นบุตรของพ่อเป็ง และแม่บัวถา มีพี่น้องทั้งหมด 13 คน บิดามารดาของท่านเป็นผู้มีฐานะ มีอาชีพทำนา ทำสวน ประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีความขยันขันแข็ง มีจิตใจหนักแน่นในกุศลธรรม รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ในบั้นปลายชีวิตบิดาของท่านได้ออกบวช เป็นที่รู้จักกันในนามของครูบาพ่อเป็ง โพธิโก มารดาของท่านได้นุ่งขาวรักษาอุโบสถศีลจนถึงแก่กรรม สำหรับพี่น้องของท่านที่ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา จนมีชื่อเสียงได้แก่ พระสุธรรมยานเถร (อินถา อินฺทจกฺโก) วัดน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพี่ชาย และพระครูสุนทรคัมภีรญาณ (คำ คมฺภีโร) วัดดอยน้อย จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งเป็นน้องชาย
การศึกษา
ในขณะเยาว์วัยครูบาพรหมาได้รับการศึกษาอักษรล้านนาและไทยกลางที่บ้านจากพี่ชายที่ได้บวชเรียนแล้วสึกออกไป เมื่อท่านได้บรรพชาแล้วจึงได้ท่องจำบทสวดมนต์ และเข้าโรงเรียนประชาบาลจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษานักธรรมด้วยตนเอง ในปี พ.ศ. 2462 ทางการคณะสงฆ์ได้จัดสอบนักธรรมสนามหลวงขึ้น ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยพระมหานายกเป็นผู้นำข้อสอบมาสอบยังวัดพระเชตุพน ในครั้งนั้นมีพระภิกษุเข้าสอบจำนวน 100 รูป ผลการสอบปรากฏว่ามีพระภิกษุที่สอบผ่านจำนวน 2 รูป คือ ครูบาพรหมา และพระทองคำ วัดเชตุพน จังหวัดเชียงใหม่ นับว่าครูบาพรหมาเป็นพระรูปแรกของจังหวัดลำพูนที่สอบนักธรรมได้
ภายหลังจากสอบนักธรรมได้แล้ว ท่านได้พยายามหาความรู้ด้านการปฏิบัตธรรมจากครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิ พระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน มหาวโน) พระสุธรรมยานเถร (ครูบาอินทรจักรรักษา) ผู้เป็นพระพี่ชาย ครูบาแสน ญาณวุฑฒิ วัดหนองเงือก ครูบาบุญมา ปารมี วัดกอม่วง เป็นต้น
บรรพชาและอุปสมบท
ครูบาพรหมา ได้บรรพชาเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2455 ขณะอายุได้ 15 ปี ณ วัดป่าเหียง ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยมีครูบาแก้ว ขัตติโย (ครูบาขัตติยะ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2461 ท่านได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดป่าเหียง โดยมีครูบาขัตติยะเป็นพระอุปัชฌาย์
ออกธุดงค์
เมื่อครูบาพรหมาอายุได้ 24 ปี บวชได้ 4 พรรษา ท่านได้ออกธุดงค์ โดยครั้งแรกไปจำพรรษา ณ ดอยน้อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์ไปในสถานที่ด่างๆ ทั่วภาคเหนือ และประเทศพม่า และได้จำพรรษาในเขตพม่าเป็นเวาถึง 5 ปี ท่านได้จาริกธุดงค์ถึง 20 พรรษา โดยถือธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นวัตร ออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ฉันภัตตาหารมื้อเดียว นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ท่านเพียรพยายามอดทนด้วยวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่สุด
ภายหลังจากธุดงค์เป็นเวลานาน ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาที่วัดหนองเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นเวลา 4 พรรษา หลังจากนั้นได้มาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า 1 พรรษา อยู่วัดม่อนมะหิน 2 พรรษา ก่อนจะย้ายกลับไปจำพรรษาอยู่วัดป่าหนองเจดีย์อีก 2 พรรษา ถึงแม้ว่าในช่วงปัจฉิมวัยครูบาพรหมาจะได้จำพรรษาเป็นประจำ ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้าแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่ทิ้งธุดงควัตร หากโอกาสเหมาะท่านก็จะพาพระเณรออกธุดงค์เป็นประจำ
หนังสือธรรมะ
ครูบาพรหมาได้เผยแพร่ธรรมะ แสดงพระธรรมเทศนา และเขียนหนังสือธรรม และสุภาษิตคำสอนหลายเล่ม อาทิ หนังสือคำถามคำตอบ เรื่องหนานตั๋นกับหนานปัญญา หนังสือสุภาษิตคำสอน หนังสือทน ศีล ภาวนา หนังสือคำถามคำตอบ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา หนังสืออภิณหปัจเวกขณ์ หนังสือเขมสรณาคมน์ เป็นต้น
สมณศักดิ์
เนื่องจากครูบาพรหมาได้ประกบคุณงามความดีแก่พระพุทธศาสนา ตลอดจนเผยแพร่ธรรมะแก่ศรัทธาสาธุชน เป็นผู้มีวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัด มีปฏิปทาอันงดงาม จนเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นลำดับ ดังนี้
พ.ศ. 2500 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ "พระครูพรหมจักรสังวร"
พ.ศ. 2510 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2516 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอกพิเศษ ในราชทินนามเดิม
พ.ศ. 2519 ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ "พระสุพรหมยานเถร"
ตำแหน่งทางปกครอง
พ.ศ. 2502 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทตากผ้า (วัดราษฎร์)
พ.ศ. 2505 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. 2522 วัดพระพุทธบาทตากผ้า ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ
พ.ศ. 2522 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง และเจ้าสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดพระพุทธบาทตากผ้า
มรณภาพ
ครูบาพรหมาได้บำเพ็ญสมณธรรมจนย่างเข้าสู่วัยชรา และได้เกิดอาการอาพาธ เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านได้ตื่นจากการจำวัดแต่เช้า และปฏิบัติธรรมตามกิจวัตร
เมื่อถึงเวลาท่านลุกนั่งสมาธิ และได้มรณภาพในท่านั่งสมาธิภาวนาในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2527 คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลเป็นเวลา 3 ปี ก่อนจะได้รับพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 ณ เมรุชั่วคราว บริเวณหน้าวัดพระพุทธบาทตากผ้า ภายหลังจากพระราชทานเพลิงศพแล้ว อัฐิของท่านได้แปรเป็นพระธาตุมีวรรณะสีต่าง ๆ ซึ่งสร้างความปิติโสมนัสแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง
บูรณะวัดพระพุทธบาทตากผ้า
ในปี พ.ศ. 2491 ครูบาพรหมาได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า และได้จำพรรษาอยู่วัดนี้เรื่อยมาจนมรณภาพ ท่านได้เป็นประธานอำนวยการบูรณะวัดพระพุทธบาทตากผ้า เช่น ต่อเติมยอดมณฑปวิหารครอบรอยพระพุทธบาทที่ครูบาศรีวิชัยได้มาบูรณะไว้ สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ ศาลาพระปริยัติธรรม นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม “พรหมจักรสังวรกิตติขจรประชาสรรค์” และเป็นประธานในการบูรณะวัดพระนอนม่อนช้าง วัดป่าหนองเจดีย์ วัดม่อนมะหิน วัดบ้านหวาย และวัดช้างค้ำ เป็นต้น
หลวงปู่รู้ได้อย่างไร
การที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร นักบุญแห่งลานนาไทยองค์ที่สองอยู่เสมอ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ก็ได้มองเห็นปฏิปทา ข้อวัตรปฏิบัติของท่านแล้ว ไม่ว่าในที่แจ้ง หรือท่านจะอยู่เพียงลำพังในกุฏิ ท่านจะกระทำสมณกิจตามอัตภาพแห่งตน อย่างสม่ำเสมอ ดังมีเรื่องจะได้นำมาบอกเล่า ให้ท่านผู้อ่านพิจารณา สักเรื่องหนึ่ง....
อ. ปถัมภ์ เรียนเมฆ
"ท่านอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ และผู้เขียน เดินทางไปเก็บหนังสือ - เยี่ยมลูกค้า ตอนเย็นประมาณ 4 โมง ก็ได้เข้ากราบนมัสการท่าน แต่ก่อนจะมาถึงตลาดป่าซาง ก็พอดีในช่วงนั้น ทางการกำลังสร้างทาง และได้เทลูกรังไว้ ฝนตกมาก ถนนลื่น ทำให้รถไถลลงไปข้างทาง ล้อจมทั้ง 4 ข้าง ต้องเดินกรำฝนไปตามรถมาช่วยลาก เป็นชั่วโมงกว่าจะขึ้นมาจากหล่มโคลนสำเร็จ ครั้นเมื่อไปถึงวัด ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน จากนั้นจึงเข้านมัสการหลวงปู่ท่าน
ขณะที่ขึ้นไปบนกุฏิ หลวงปู่กำลังนั่งสมาธิอยู่....
จึงนั่งรอท่าน พอท่านออกจากสมาธิ ท่านก็หันมามอง ท่านได้เอ่ยทัก ด้วยคำพูดที่น่าอัศจรรย์ว่า....
"ฝนตกมากนะ....ถนนลื่นรถก็ไถลลงไปแช่น้ำครึ่งคัน เสียเงินค่าลากจูงอีก 300 บาท ก็เอาละ วันนี้นอนค้างเสียที่กุฏินี้แหละ จะได้นั่งภาวนาด้วยกัน"
ผู้เขียนได้ยินท่านพูดเช่นนั้น เกิดปีติเป็นอย่างมาก และเชื่อในความรู้เห็นอันแจ่มใสของท่าน ด้วยอำนาจแห่งสมาธิธรรม ก็สิ่งเหล่านี้แหละ นักปฏิบัติผู้สนใจ หลงใหลที่จะได้กันนัก
คืนนั้น หลวงปู่ได้สอนวิธีปฏิบัติธรรม การพิจารณาธรรมอันมีทุกข์ - สุข เป็นต้น จนบังเกิดความสว่างทางจิตใจเป็นอันมาก
เรื่องนี้ มิใช่ว่าจะนำมากล่าวหรือยกย่องในคุณวิเศษของครูบาอาจารย์ แต่เป็นการเทิดทูน ธรรมความดีจริง ของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ใดปฏิบัติทางจิต เข้าสู่ความสงบแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมจะได้พบ กับความอัศจรรย์ทางจิตใจได้ทุกเมื่อ แม้พระพุทธศาสนาของเราจะล่วงเวลามานาน กว่า 2527 ปีแล้วก็ตาม สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่ ภายในจิตของผู้ปฏิบัติไม่ลบเลือน นี่แหละ ท่านจึงสอนว่า "ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมรู้เองเห็นเอง"
(ดำรง ภู่ระย้า....ผู้เขียน)>>>ดูข้อมูลเพิ่มเติม>>>คลิก<<<
-------------------------------------------------------------------------------
เย็นยิ่งกว่านํ้แข็ง
จดหมายเหตุ ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า จากเวบ phuttawong.net >> จดหมายเหตุพุทธวงศ์ >> โพสท์โดย เนาวสถิตย์ เมื่อ: 17 สิงหาคม 2552
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์แก่ผู้ได้สมาธิจิตกันทั่วไปว่า อัน "จิตหนึ่ง" ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรนั้น
นอกจากจะมีพลานุภาพอันแรงกล้าอย่างมหาศาลแล้ว ก็ยังมีความเยือกเย็นอย่างยิ่งยวดแฝงอยู่ภายในอย่างท่วมท้นอีกด้วย ความเย็นของจิตหลวงปู่สิมนั้น ช่างเย็นฉ่ำเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เย็นจนไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไรดี
เย็นเสียจนแม้ไฟที่กำลังร้อนๆ ตกลงมา ก็แทบจะถูกความเย็นของท่าน "แช่แข็งคาที่" จนกลายเป็นไฟเย็นก็เปรียบได้.!!!!
ก็ใครที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่หลวงปู่ท่านโดน "ใครบางคน" กล่าววาจาล่วงเกินกลางถ้ำผาปล่องต่อหน้าธารกำนัล อันมีคณะสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาจำนวนมากอย่างไม่ไว้หน้า แต่ท่านกลับ "สงบเย็น" อยู่ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางแก้สถานการณ์ด้วยความใจเย็นจนถึงที่สุด โดยไม่ปรากฏอาการของโทสะความโกรธให้พบเห็นเลยแม้แต่เพียงน้อยเดียว ก็จะ "รู้ดี" ถึงแก่นแกนใจว่า อันหลวงปู่สิมนั้น ท่าน "นิพพุติ" อย่างสิ้นเชิงถึงเพียงไหน..???
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่สุด ที่ "พุทธวงศ์" อยู่และประสพอยู่ในเหตุการณ์มาด้วยตนเอง ทำให้ซาบซึ้งถึงใจอย่างที่สุดพลางอุทานขึ้นมาในใจว่า
"นี่แหละ ท่านผู้สิ้นตัณหาแล้ว ท่านผู้สิ้นความโกรธแล้ว ย่อมเป็นดังนี้นี่แล..!!!!"
หรือแม้แต่ขณะที่หลวงปู่สิมท่านนั่งประธานปรก "พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล" ในพระอุโบสถ วัดพระแก้วเมื่อปีพ.ศ. 2534 นั้น คุณนัดดา เศรษฐบุตร เพื่อนรุ่นพี่ ศิษย์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหารก็ได้ไปร่วมพิธีด้วย จนเมื่อได้กราบหลวงปู่สิมที่ธรรมาสน์ปรกเอก ก็มีเหตุให้สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ยิ่งใหญ่ของหลวงปู่สิม ที่แผ่ซ่านออกมาจนถึงกับต้องร้องออกมาในทันทีทีเดียวว่า
"โอ้..เต็มๆ เลย เย็นไปหมดเลย..!!!???"
ก็เพราะความที่หลวงปู่ท่านเย็นสนิท เพราะดับไฟคือราคะ โทสะ โมหะออกจากจิตได้หมดสิ้นดังนี้ บางท่านถึงขนานนามให้ท่านด้วยสมัญญาพิเศษ ด้วยความเลื่อมใสเอาเสียทีเดียวว่า
"พระน้ำแข็ง.!!??!!"
ซึ่งเรื่อง "พระน้ำแข็ง" นี้ "พุทธวงศ์" ไม่เคยนำไปเล่าให้หลวงปู่สิมฟังเลยแม้เพียงครั้งเดียว
เพราะอยู่กับ "พระอริยเจ้าชั้นสูง" ขนาดนี้ การจะพูดจะคิดจะทำอะไร ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบระแวดระวังไปทุกกระดิกที่สุด เพื่อมิให้เกิดเป็นบาปเป็นกรรมในทุกแง่มุมก่อนเสมอ
ก็การอยู่กับพระอริยเจ้านั้น "บุญ" แม้มีมาก แต่ "บาป" ก็จะมากตามไปด้วย (หากทำ, พูด, คิด ผิด)เช่นกัน
และเหตุที่หลวงปู่สิมท่านมีความเป็น "ผู้ดี" (มารยาทแบบกษัตริย์อย่างพระพุทธเจ้า-สำนวนเจ้าคุณนรรัตน์ฯ) ในเนื้อหาถึงขนาดนั้น อีกสิ่งที่คนวงในจะเกรงกลัวกันมากก็คือ หากทำผิดท่าผิดทางแล้ว ก็อาจจะถูกหลวงปู่ท่านมองด้วยหางตาพลาง "ย้อน" กลับมาเพียงคำครึ่งคำแบบ "เชือดนิ่มๆ" (แต่กรีดลึกอย่างสุดๆ) ตามสไตล์ผู้ดีของท่าน ก็มีสิทธิ์ที่จะ "เสียศูนย์" บาดเจ็บสาหัสเจียนตายแทบจะดับดิ้นสิ้นชีวิตเอาได้ง่ายๆ..!!!!
ไม่รู้เหมือนกันว่า คนสมัยนี้จะมีวาสนาได้สัมผัสหรือเข้าใจใน "สภาวะอารมณ์เบื้องสูง" แบบ "ผู้ดีๆ" นี้บ้างหรือไม่..????
บอกได้แต่เพียงว่า ยามใดที่ "พุทธวงศ์" เข้าไปกราบไหว้หลวงปู่สิมนั้น ก็ต้องทำบีบต้วตนกายใจให้เล็กลีบต่ำเตี้ยติดดิน เรียบร้อยมากที่สุด ไม่ต่างอะไรกับการ "เข้าเจ้าเข้านาย" เลยแม้แต่เพียงน้อยเดียว
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ "พุทธวงศ์" กำลังนั่งอยู่ต่อหน้าหลวงปู่สิมที่บ้านกรุงเทพภาวนาอยู่นั่นเอง เหมือนหลวงปู่สิมท่านจะ "สแกน(พฤติ)กรรม" ของ "พุทธวงศ์" จนล่วงรู้ที่มาที่ไปจนหมดสิ้น ว่าไปพูดไปคิด ไปทำ ไปฟัง อะไรที่ไหนกับใครมา หลวงปู่ท่านจึงได้ "ย้อนศร" เปรี้ยงออกมาแบบ ชนิดไม่มีมโหรีปี่กลองมโหระทึกสังข์แตรดุริยางค์โหมโรงประโคมให้รู้เนื้อรู้ตัวก่อนเลยแม้แต่เพียงนิด ทำเอา "พุทธวงศ์" แทบจะผงะหงายหลังออกมาไม่ทันเลยทีเดียวว่า
"ครูบาพรหมจักรน่ะ เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งอีกน๊ะ..!!!???!!!"
เมื่อได้ฟัง "พุทธวงศ์" ก็แทบสะดุ้งเฮือก..!!!!!
"โดน" เข้าให้แล้ว....
"เต็มๆ จะๆ" เลย.......
หลวงปู่รู้เรื่อง "น้ำแข็ง" ได้อย่างไร..????
ภาพไฟที่โชนไหม้เมรุและสรีระของครูบาพรหมจักร วันพระราชทานเพลิง อันได้ก่อตัวเป็นรูป "พระนั่งสมาธิกลางกองกูณฑ์" อย่างน่าตื่นใจยิ่งนี้ ซึ่ง "พุทธวงศ์" ถ่ายไว้ได้ด้วยตนเอง (ก่อนขึ้นไปถ่ายรูปพระธาตุ 4 ครูบา ซึ่งได้นำมาเป็นแบบต้นร่างของ "พระสุธรรมเจดีย์" ในกาลต่อมา) ก็เพิ่งจะนำมาเปิดเผยแสดงเป็นการสาธารณะให้โอกาสนี้อีกเช่นเดียวกัน
หมายเหตุ : เรื่อง "เย็นกว่าน้ำแข็ง" ที่แม้จะเป็นเรื่องประสบการณ์อภินิหารแห่งอภิญญาญาณของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโรเกือบตลอด แต่ก็เกี่ยวเนื่องเป็นเชิงยกย่อง ในอัจฉริยคุณอันยอดเยี่ยม ของครูบาพรหมจักร ที่หลวงปู่สิมท่านพูดกับปากของท่านเองดังนี้ เป็นเรื่องที่ "พุทธวงศ์" ไม่เคยเปิดเผยในสื่อที่ไหนมาก่อน
คงเก็บงำเงียบๆ มาเนิ่นนานถึงกว่า 17 ปีเต็มๆ
เพิ่งจะนำมาแสดงเป็นวาระแรกสุดให้ปรากฏต่างเครื่องสักการบูชาไหว้สาถวายแด่ "หลวงพ่อพระพุทธบาทตากผ้า" เนื่องในวันคล้ายวันมรณภาพของ (17 สิงหาคม) นี้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะเท่านั้น
ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง จงดลบันดาลให้ชื่อเสียงเกียรติคุณและคุณธรรมสัมมาปฏิบัติอันไม่มีใดเทียบได้ของพระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า ต.มะกอก อ.ป่าซาง จ.ลำพูน จงบันลือลั่นภิญโญยิ่งๆ ขึ้นไปตามกาลเวลาที่ผ่านพ้น และสถิตสถาพรอยู่คู่กับแผ่นดินแผ่นฟ้า เป็นมหาสิริมงคลอันยิ่งแก่ชาติบ้านเมืองและโลกทั้งสิ้นสืบต่อไปมิรู้สิ้นสูญเที่ยงแท้ด้วยเทอญฯ
"เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT)